หากมองตลาดเฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้านในปัจจุบัน หลายคนก็จะเห็นได้ว่าผลิตภัณฑ์ หรือสินค้าจากแต่ละแบรนด์ที่มีวางจำหน่ายนั้นผลิตมาจากวัสดุหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นไม้ เหล็ก อลูมิเนียม พลาสติก ไม้อัด กระดาษอัดหรือเศษไม้อัด รวมถึงไม้เทียมประเภทต่างๆ ให้เราเลือกซื้อเลือกใช้ได้ตามสเปคที่ต้องการและงบประมาณที่มี แต่ถ้าจะให้แบ่งแยกประเภทวัสดุของเฟอร์นิเจอร์ออกเป็นประเภทหลักๆ ก็คงต้องบอกว่าแบ่งได้ออกเป็นสองประเภทหลักเท่านั้นคือ วัสดุไม้ กับวัสดุเหล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเฟอร์นิเจอร์ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ เช่น เก้าอี้ โต๊ะ เตียง ตู้เสื้อผ้า ชั้นวางหนังสือ ฯลฯ เพราะในกระบวนการผลิตของสินค้าเหล่านี้จะมีขั้นตอนและส่วนประกอบสำคัญอย่างการทำโครง ซึ่งจะเป็นส่วนที่ยึดให้ตัวเฟอร์นิเจอร์มั่นคงแข็งแรง รองรับการใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆ โดยวัสดุที่มีความแข็งแรงเพียงพอที่จะใช้ทำโครงได้ก็มีแค่ไม้ กับเหล็ก การตัดสินใจว่าจะเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์(โครง)ไม้ หรือเหล็ก จึงถือเป็นอีกส่วนสำคัญที่ผู้ตกแต่งต้องตัดสินใจเลือกในงานตกแต่งภายในบ้าน หรืออาคารใดๆ และในบทความเองก็ได้นำเอาข้อเปรียบเทียบระหว่างวัสดุไม้ กับเหล็ก มาบอกกล่าวให้ได้ทราบกันว่าวัสดุสองแบบมีข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไร เพื่อที่หลายคนจะได้ตัดสินใจได้ว่าโจทย์การตกแต่งของเรานั้นควรเลือกใช้วัสดุแบบไหน
วัสดุเหล็กมีความแข็งแรงทนทานกว่า แม้ว่าวัสดุไม้จะถูกเลือกใช้ในงานเฟอร์นิเจอร์ รวมถึงงานโครงสร้างบ้านเรือนมาก่อนเหล็ก และไม้หลายชนิดก็ได้รับการยอมรับในเรื่องความแข็งแรง ทนทาน แต่หากเทียบความแข็งแรงทนทานโดยธรรมชาติของตัววัสดุและอายุการใช้งานเฉลี่ยของงานโครงสร้างต่างๆ แล้วก็ต้องยกให้วัสดุเหล็กเป็นวัสดุที่มีความแข็งแรงทนทานมากที่สุด ดังนั้นหากต้องการสเปคด้านความมั่นคงแข็งแรงของตัวเฟอร์นิเจอร์มากหน่อย ก็อาจกล่าวได้ว่าการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์โครงเหล็กเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
วัสดุไม้มีความสวยงาม และยืดหยุ่นในการตกแต่งเข้ากับสไตล์ต่างๆ มากกว่า มาที่ข้อดีของวัสดุไม้กันบ้าง แม้ว่าในเรื่องความแข็งแรงทนทาน เหล็กดูจะมีคุณสมบัติที่ดีกว่าไม้ชัดเจน แต่หนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้ไม้เป็นวัสดุที่ได้รับความนิยมในงานเฟอร์นิเจอร์และการตกแต่งภายในมากกว่าเหล็กก็คือเรื่องความสวยงามนั่นเอง เนื่องจากไม้เป็นวัสดุที่มีสีสันและลวดลายตามธรรมชาติที่สวยงามสะดุดตาผู้คนได้ดีกว่าเหล็กอย่างเช่น ลายของตู้เก็บของ โทนสีของเนื้อไม้ประเภทต่างๆ สามารถแมตช์กับการตกแต่งในสไตล์ต่างๆ ได้อย่างยืดหยุ่น ตัวอย่างเช่น โทนสีอ่อนของไม้โอ๊ค ไม้แอชที่แมตช์ได้อย่างลงตัวกับสไตล์ตกแต่งแบบมินิมอล โทนสีเข้มของไม้วอลนัทที่แมตช์ได้ดีกับสไตล์คลาสสิก หรือเรโทร เป็นต้น ขณะที่เหล็กนั้นค่อนข้างมีข้อจำกัดในการแมตช์กับสไตล์ตกแต่งต่างๆ มากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับงานเฟอร์นิเจอร์ที่เปลือยให้เห็นโครงสร้างเหล็กชัดเจน มักเป็นที่นิยมในสไตล์การตกแต่งที่เฉพาะเจาะจงอย่างลอฟท์เท่านั้น เราจึงมักจะได้เห็นเฟอร์นิเจอร์โครงเหล็กที่เลือกใช้ส่วนประกอบอื่นเป็น งานวัสดุไม้มาผสมผสาน ไม่ว่าจะเป็นไม้ท็อป หรือพื้นผิวส่วนอื่นๆ เพื่อให้สามารถแมตช์กับสไตล์การตกแต่งต่างๆ ได้ง่ายขึ้น
เหล็กมีความยืดหยุ่นในการดัดแปลงรูปทรงมากกว่า มากันที่อีกหนึ่งข้อเปรียบเทียบที่ต้องยกให้เป็นข้อดีของวัสดุเหล็กก็คือ การดัด หรือกำหนดรูปทรงของโครงที่ต้องการใช้งาน ซึ่งเหล็กถือเป็นวัสดุที่กำหนดรูปทรงได้ยืดหยุ่นกว่าไม้ สามารถดีไซน์ส่วนโค้งเว้าได้ ขณะที่ไม้ชนิดต่างๆ มักมีรูปทรงตรงตายตัว การดัดให้มีส่วนโค้งเว้าจะทำให้ไม้แตกหัก โครงไม้ในงานเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ จึงมักถูกใช้ในลักษณะรูปทรงตรง หรืออาศัยการซอยไม้ออกเป็นหลายชิ้น และนำมาประกอบกันเพื่อกำหนดส่วนโค้งเว้า แต่ทั้งนี้ก็มีไม้บางชนิดที่ถือเป็นข้อยกเว้นและมีคุณสมบัติในการกำหนดรูปทรงได้ยืดหยุ่นกว่าไม้ชนิดอื่นๆ เช่น ไม้ยางพารา ซึ่งคุณสมบัติพิเศษในเนื้อไม้ชนิดนี้ช่วยทำให้ดัดรูปทรงได้ง่ายกว่าไม้ชนิดอื่นๆ แต่ก็ตามมาด้วยข้อจำกัดในเรื่องความแข็งแรงทนทานที่มีน้อยกว่าไม้เนื้อแข็งหลายชนิด
เปรียบเทียบเฟอร์นิเจอร์วัสดุไม้-เหล็ก มีข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไร ควรเลือกใช้แบบไหน?
