test

เฟอร์นิเจอร์ เป็นสิ่งที่อยู่คู่บ้านเรือนไม่ว่าจะหลังไหนก็ตาม สิ่งนี้ยังสามารถที่จะช่วยเพิ่มบรรยากาศภายในบ้าน สามารถที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศภายในห้อง หากเราอยากให้ห้องของเรา หรือบ้านของเรามีบรรยากาศแบบไหน การใช้เฟอร์นิเจอร์ในแบบที่แตกต่างกันออกไป ก็ช่วยเปลี่ยนบรรยากาศของห้องหรือบ้านของเราได้เป็นอย่างดี เฟอร์นิเจอร์อาจมีทั้งหลากหลายรูปแบบ มีดีไซน์ที่แตกต่างกัน อันนี้แน่นอนว่าทำให้ห้องหรือบ้านของเรามีความแตกต่างกันได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ให้ความแตกต่างกันเหมือนกันก็คือ ประเภทของเฟอร์นิเจอร์

เฟอร์นิเจอร์แต่ละประเภทนั้น มีหลักการในการใช้งานที่แตกต่างกัน สามารถที่จะนำมาประดับห้องหรือประดับบ้าน แล้วทำให้มีสภาพแตกต่างกันไปด้วย สำหรับใครที่อยากจะเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์แบบไหน วันนี้เราจะมาขอแนะนำ ว่ากันด้วยเรื่องของข้อดีและข้อเสียของเฟอร์นิเจอร์แต่ละแบบ เพื่อทำการเปรียบเทียบ และการประกอบการตัดสินใจสำหรับผู้ที่อยากเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ไว้แต่งบ้าน หรืออาจจะนำไปไว้ในคอนโดห้องเล็ก ว่าจะมีอย่างไรบ้าง

แบบที่สามารถถอดประกอบได้

ปกติแล้วโต๊ะหรือตู้แบบนี้ จะเป็นแบบที่ตั้งไว้กับที่ เวลาที่จะทำการเคลื่อนย้ายแต่ละที ต้องทำการถอดและประกอบใหม่อยู่เสมอ ซึ่งแบบนี้จะเป็นกระบวนการผลิตเกือบสำเร็จรูปจากโรงงาน เพียงแต่ต้องนำมาติดตั้งและประกอบโดยช่างอีกทีนึง หรือบางอันอาจจะไม่ยากมาก สามารถที่จะนำมาประกอบได้ด้วยตนเอง ข้อดีที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ สามารถลดปัญหาเรื่องฝุ่นไม้ และกลิ่นสีได้ เพราะกระบวนการผลิตเกือบจะสำเร็จรูปจากโรงงานมาแล้ว เพียงแค่นำมาติดตั้งประกอบเองโดยช่าง และยังสามารถที่จะควบคุมคุณภาพการผลิตได้เป็นอย่างดี เนื่องจากส่วนมาก ผลิตโดยใช้วัสดุสังเคราะห์

ส่วนข้อเสียก็มีอยู่เหมือนกัน คือในเรื่องของการออกแบบ และการติดตั้งเครื่องเพื่อเตรียมการผลิต อาจมีความยุ่งยากและความซับซ้อนอยู่บ้าง ในแง่ของผู้ผลิต ผู้ผลิตเองจำเป็นที่จะต้องผลิตในจำนวนมาก ทั้งนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุน จึงจำเป็นต้องทำการเฉลี่ยค่าใช้จ่ายในการออกแบบ และการเตรียมการผลิตให้น้อยที่สุด

ในฐานะของผู้ใช้งาน ต้องยอมรับว่าโต๊ะทานวางของหรือตู้เก็บของ ที่เป็นแบบถอดประกอบนั้น จะมีอายุการใช้งานที่ค่อนข้างน้อยกว่าที่ผลิตมาจากไม้จริง ทั้งนี้ก็เนื่องจากกระบวนการผลิตที่ยุ่งยากอย่างที่กล่าวมา อีกทั้งเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตก็มีราคาที่สูงด้วย

แบบลอยตัว

แบบลอยตัวคือ แบบที่เราสามารถที่จะเคลื่อนย้ายได้ สามารถที่จะนำมาตกแต่ง และจะวางตามรูปแบบที่เราต้องการ ส่วนมากแล้วโต๊ะที่ผลิต จะผลิตออกมาสำเร็จรูปจากโรงงานแล้ว ก่อนที่จะนำมาวางขาย ให้สามารถที่จะเลือกแบบได้จากตัวอย่างที่มีอยู่จริงเลย ดังนั้นข้อดีที่เห็นได้เด่นชัดคือ มีให้เลือกด้วยกันหลากหลายรูปแบบ และมีให้เลือกหลากหลายประโยชน์ที่จะนำไปใช้งาน สามารถที่จะเห็นภาพตัวจริงและจับต้องได้ บางทีถึงกับทดลองใช้งานได้เลยทีเดียว

ถึงจะมีราคาแพงกว่าแบบที่นำมาประกอบเอง แต่ก็ยังมีราคาถูกกว่าแบบที่ติดตั้งกับที่ หรือที่เราเรียกว่าแบบบิ้วอิน และเนื่องจากเป็นแบบลอยตัว ทำให้ง่ายต่อการเคลื่อนย้าย นอกจากนี้ยังลดปัญหาฝุ่นละออง และกลิ่นด้วย เนื่องจากติดตั้งมาแล้วจากโรงงาน

ข้อเสียก็คือ ด้วยความที่สามารถผลิตได้ง่าย จึงทำให้มีรูปแบบซ้ำๆกันมากมาย ขาดการมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และด้วยรูปแบบที่ค่อนข้างตายตัว ทำให้มีขนาดที่จำกัด ไม่สามารถที่จะปรับเปลี่ยนอะไรได้มากนัก ดังนั้นจึงไม่ค่อยเหมาะสำหรับคนขี้เบื่อเท่าไร

แบบติดตั้งกับที่

แบบสุดท้ายนี่คือแบบที่ติดตั้งกับที่ โดยจะนำมาติดกับพื้นผิวของห้องเพื่อให้เหมาะสมกับพื้นที่ ที่ต้องการเป็นการเฉพาะ ข้อดีที่เห็นได้เด่นชัดคือ มีความแข็งแรงทนทาน เนื่องจากถูกติดตั้งให้ยึดเกาะกับโครงสร้างอาคาร อีกทั้งยังมีรูปแบบเฉพาะตัว และดูหรูหราอีกด้วย และที่สำคัญเลยคือ ลดปัญหาการสะสมของฝุ่น เพราะเนื่องจากการออกแบบ บางอย่างทำให้สูงจนชนฝ้าเพดาน จึงทำให้ไม่มีฝุ่นจับที่ช่องเหลือด้านบน

ข้อเสียก็คือ ไม่สามารถที่จะเคลื่อนย้ายหรือโยกย้ายได้ เพราะติดตั้งมาอยู่กับที่ อีกทั้งยังไม่สามารถเปลี่ยนรูปร่างหรือรูปแบบการจัดวางได้ด้วย และสำหรับคนที่มีข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ เฟอร์นิเจอร์แบบนี้ก็ค่อนข้างมีราคาสูงเลยทีเดียว

เมื่อพูดถึงเทรนด์ของงาน Interior Design หรือการออกแบบตกแต่งภายในอาคาร ภายในตัวบ้านในปัจจุบันก็ย่อมต้องนึกถึงเฟอร์นิเจอร์แบบบิวท์อินควบคู่กันไปด้วย เรียกได้ว่าการบิวท์อินเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์บ้านสมัยใหม่มากกว่าเฟอร์นิเจอร์แบบลอยตัวก็ว่าได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อดีไซน์ รูปทรงอาคาร, บ้าน ในปัจจุบันมีความหลากหลายมากขึ้นพร้อมๆ กับที่ข้อจำกัดด้านพื้นที่ หรือที่ดินในการปลูกสร้างมีมากขึ้นกว่าบ้านในยุคก่อนๆ เช่นกัน ก็ยิ่งทำให้เฟอร์นิเจอร์ลอยตัวในขนาดมาตรฐานต่างๆ ไม่สามารถแมตช์กันได้ดีกับพื้นที่ภายในตัวอาคาร ตัวบ้านเหมือนที่เคยเป็นมา อย่างไรก็ตามการเลือกใช้วิธีบิวท์อินจากภายในก็ถือว่าเป็นโจทย์ที่ยากสำหรับทั้งนักออกแบบ และผู้อยู่อาศัย หรือเจ้าของบ้านเช่นกัน เพราะเมื่อเทียบงบประมาณโดยทั่วไปแล้ว การบิวท์อินถือว่าใช้งบสูงกว่าการใช้เฟอร์นิเจอร์สำเร็จรูปพอสมควร อีกทั้งการคาดการณ์ วางแพลนใช้งบบิวท์อินพื้นที่ส่วนใดๆ ก็นับเป็นเรื่องยากด้วย เนื่องจากการบิวท์อินไม่มีราคาตายตัว ทั้งยังขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการคิดเรทค่าแรง หรือค่าบริการของแต่ละบริษัทที่แตกต่างกัน คุณภาพวัสดุที่เลือกใช้ ความยากง่ายของดีไซน์ที่เราต้องการ ในบทความนี้จึงได้นำเอาวิธีกะประมาณงบในการบิวท์อินเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งจะช่วยให้เราพอทราบตัวเลขงบคร่าวๆ ได้ก่อนการตัดสินใจเริ่มบิวท์อินพื้นที่ส่วนใดๆ ของบ้าน
งบประมาณในการออกแบบตารางเมตรละ 1,000 บาทขึ้นไป เมื่อพูดถึงงบประมาณในการบิวท์อินพื้นที่ส่วนใดๆ หลายคนมักนึกถึงเฉพาะงบส่วนของค่าบริการ หรือค่าแรงและค่าวัสดุของเฟอร์นิเจอร์ชิ้นนั้นๆ แต่ขั้นตอนของการบิวท์อินจริงๆ นั้นเริ่มต้นที่การออกแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นการบิวท์อินแบบยกห้อง หรือพื้นที่ทั้งส่วน หากเราไม่มีความรู้เรื่องการออกแบบ ไม่สามารถวาดแบบเองได้ก็จำเป็นต้องให้สถาปนิกออกแบบให้ โดยอ้างอิงจากขนาดและรูปทรงของพื้นที่จริง เพราะหากไม่มีการออกแบบ วาดแบบขึ้นมาโดยอ้างอิงจากพื้นที่จริงจะทำให้ขั้นตอนการบิวท์อินเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใดๆ เป็นไปด้วยความยากลำบาก และผลงานที่ออกมาก็อาจจะไม่ตรงใจเรา โดยงบประมาณส่วนนี้ ตามเรทราคาของบริษัทรับออกแบบและตกแต่งภายในทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณตารางเมตรละ 1,000 บาทขึ้นไป ดังนั้นหากเป็นห้องขนาด 20 ตารางเมตร ก็จำเป็นต้องกันงบส่วนของการออกแบบไว้ที่ประมาณ 20,000 บาท เป็นอย่างน้อย
งบค่าวัสดุ ส่วนที่ถือว่าน่าจะเป็นหัวใจหลักของการใช้งบบิวท์อินเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใดๆ และเป็นส่วนที่กะประมาณได้ยากที่สุด มีความยืดหยุ่นตามปัจจัยหลายปัจจัยก็คือส่วนของค่าวัสดุนั่นเอง เพราะเรทราคาจะผันแปรตามคุณภาพ หรือเกรดของวัสดุที่เลือกใช้ นอกจากนี้บริษัทรับตกแต่งภายในก็อาจคิดรวมกับค่าบริการ หรือค่าแรง(ซึ่งแต่ละบริษัทอาจตั้งเรทไว้ต่างกัน)ด้วย โดยเรทราคาค่าวัสดุต่อเมตร(อ้างอิงจากความยาวของเฟอร์นิเจอร์แต่ละชิ้นที่จะทำการบิวท์อิน) รวมกับค่าแรงมีเริ่มต้นตั้งแต่หมื่นต้นๆ ไปจนถึงหลายหมื่นบาท ดังนั้นหากจะลองกะประมาณคร่าวๆ โดยอิงจากเกรดวัสดุระดับกลาง ก็อาจลองใช้ตัวเลขกลมๆ ที่ 20,000 บาทต่อเมตร คูณกับขนาดความยาวของเฟอร์นิเจอร์รวมกัน ตัวอย่างเช่น ความยาวตู้เสื้อผ้าและเตียงนอน รวมกัน 6 เมตร = 6*20,000 ก็จะได้ราคาค่าวัสดุและค่าแรงบิวท์อินรวมคร่าวๆ ที่ 120,000 บาท เป็นต้น
ความยากง่าย สลับซับซ้อนของดีไซน์รูปทรง ปัจจัยอีกส่วนที่ค่อนข้างส่งผลต่องบในการบิวท์อินเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใดๆ ก็คือดีไซน์รูปทรงของเฟอร์นิเจอร์ชิ้นนั้นๆ ที่เราต้องการ เช่น ตู้ โต๊ะ เตียง ชั้นวางทีวี ที่ต้องใช้พื้นที่จำกัดร่วมกัน เพราะบริษัทรับตกแต่งภายในแต่ละที่มักเลือกคิดเรทราคาต่างกันไปตามความยากง่ายของดีไซน์ ซึ่งเป็นส่วนที่เราจะต้องสอบถามกับทางบริษัทที่เราใช้บริการโดยตรงเพื่อให้สามารถทราบตัวเลขที่ชัดเจนของค่าวัสดุและค่าบริการ โดยสามารถใช้แบบแปลนจากสถาปนิกเป็นแบบอ้างอิงเพื่อให้ทางบริษัทเสนอราคาให้

มีแนวคิดหนึ่งที่มีความเชื่ออย่างที่สุดว่า การสร้างบรรยากาศการทำงาน ให้มีความใกล้ชิดกับธรรมชาติ จะยิ่งช่วยให้มีประสิทธิภาพการทำงานมากขึ้น งานมีคุณภาพมากขึ้น และผลลัพธ์ที่ได้จากดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งในความเป็นจริง การกล่าวแบบนี้ก็นับว่ามีส่วนเป็นความจริงอยู่ ถึงแม้ว่าอาจจะมีบางคน ที่อาจจะไม่ชอบแนวคิดนี้เท่าไหร่นัก แต่สำหรับหลายคน การที่ได้ใกล้ชิดธรรมชาติ การที่ได้พักสายตาในจุดที่มีสีเขียว อย่างน้อยก็ช่วยให้เกิดการผ่อนคลายได้ขึ้นมาบ้าง

การจัดแต่งโซนทำงานหรือห้องทำงาน ให้มีสไตล์แบบธรรมชาตินิยม ผสมผสานความเป็นธรรมชาติ การมีต้นไม้สีเขียว กับการทำงานได้อย่างลงตัว สิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญที่จะช่วยให้ห้องเราเป็นแบบธรรมชาติ นั่นก็คือเฟอร์นิเจอร์ ดังนั้นในวันนี้ เราจะมาแนะนำวิธีการเลือกเฟอร์นิเจอร์สำนักงาน เพื่อที่จะสร้างบรรยากาศให้มีความใกล้ชิดกับธรรมชาติ และมีความน่าสนใจมากที่สุด สามารถที่จะออกแบบได้ตามแต่ออฟฟิศ หรือตามแต่บุคคลได้เลย

ไม่ว่าอย่างไร ความเหมาะสมกับสไตล์การตกแต่งก็สำคัญมากที่สุด

ห้องทำงานส่วนใหญ่นั้น มักมีสไตล์ในการตกแต่งเป็นของตนเองที่แตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ก็เพื่อสามารถที่จะสร้างความพึงพอใจให้กับผู้มารับบริการเอง หรือแม้แต่ตัวคนที่ทำงานอยู่ข้างในนั่นเองด้วย ดังนั้นการเลือกเฟอร์นิเจอร์สำนักงาน จึงต้องพิจารณาจากการตกแต่งเป็นอันดับแรก ยกตัวอย่างเช่น ในออฟฟิศของเรา มีการตกแต่งเป็นสไตล์แบบโมเดิร์น ที่เน้นในเรื่องของความเรียบง่าย อุปกรณ์สำหรับใช้ในการตกแต่ง หรือใช้งานในห้องนั้นส่วนมากแล้วจะเป็นรูปทรงเลขาคณิต

เลือกเฟอร์นิเจอร์จากโทนสี

โทนสี ค่อนข้างมีความสำคัญอย่างมากกับการตกแต่งบ้าน มันให้ความรู้สึกกับเราได้เป็นอย่างดี ในที่นี้โทนสี สามารถที่จะให้ความรู้สึกได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ยกตัวอย่างเช่น หากเราเห็นอะไรที่มีโทนสีเขียวแบบสีของใบไม้ สิ่งที่เกิดขึ้นก็อาจจะเป็นความรู้สึกที่ผ่อนคลาย และยกตัวอย่างสีจากธรรมชาติ พ่อฤาษีในรูปแบบของเอิร์ธโทน อย่างสีน้ำตาลเข้ม หรือน้ำตาลอ่อน สี่เหล่านี้ก็ให้อารมณ์และความรู้สึกที่มีความแตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง

เลือกจากวัสดุธรรมชาติ

เฟอร์นิเจอร์สำนักงาน ที่ผลิตออกมาจากวัสดุธรรมชาติยกตัวอย่างเช่น มีการผลิตจากไม้ที่มีทั้งไม้เนื้ออ่อน และไม้เนื้อแข็ง นอกจากจะให้อารมณ์ความรู้สึก ที่ค่อนข้างมีความใกล้ชิดกับธรรมชาติแล้ว ด้วยสีของเนื้อไม้เอง ยังทำให้ดูมีความสวยงามโดดเด่น ที่เเตกต่างจากที่อื่น หรือแม้แต่การเลือกโซฟาหนัง การที่เลือกโซฟาแบบหนังแท้ ทั้งสีและผิวสัมผัสของเฟอร์นิเจอร์ชิ้นนี้ จะดูมีความสวยงาม ให้ความรู้สึกเหมือนกันได้ชิดกับธรรมชาติมากยิ่งขึ้น

เลือกเฟอร์นิเจอร์จากวัสดุเลียนแบบธรรมชาติ

หรือสำหรับใครที่ต้องการที่จะคุมค่าใช้จ่ายอยู่ การเลือกเฟอร์นิเจอร์จากวัสดุที่มีความเลียนแบบธรรมชาติ แต่ก็มีความคล้ายกับธรรมชาติมากๆ เหล่านี้ก็น่าสนใจดี บางครั้งเราอาจต้องเน้นในเรื่องของความแข็งแรงทนทาน เพราะอาจจะต้องมีการเคลื่อนย้ายบ่อยครั้ง และจะต้องรับน้ำหนักที่ค่อนข้างมาก วัสดุที่นำมาผลิตจึงต้องมีความคงทน และจะต้องมีความแข็งแรงด้วย หากต้องการให้ห้องทำงานมีบรรยากาศที่มีความเป็นธรรมชาติ อาจจะเลือกซื้อโต๊ะ ตู้ หรือโซฟาที่ผลิตจากวัสดุที่เลียนแบบธรรมชาติ หรืออาจแบบผสมผสาน ยกตัวอย่างเช่น โต๊ะทำงานที่หน้าเป็นเหล็ก ปิดผิวพีวีซีลายไม้

เลือกแบบที่สามารถใช้งานได้อเนกประสงค์

การเลือกเฟอร์นิเจอร์สำหรับห้องทำงาน หรือสำหรับสำนักงานเอง อาจจะต้องเลือกแบบที่สามารถใช้งานได้อย่างหลากหลาย การที่สามารถใช้งานได้อย่างอเนกประสงค์ จะช่วยประหยัดพื้นที่ภายในสำนักงานที่ค่อนข้างแคบมากเลยทีเดียว ทำให้ห้องทำงานมีความโปร่ง ความโล่ง และความสบาย อยู่ในจุดที่อากาศสามารถที่จะถ่ายเทออกและเขาได้อย่างง่ายดาย โดยบางครั้งอาจจะไม่ต้องใช้เครื่องปรับอากาศเลย

เฟอร์นิเจอร์ที่เราใช้กันอยู่ในบ้านนั้น ทำขึ้นมาจากมากมายหลากหลายวัสดุ ครับเป็นวัสดุอย่างพวกเหล็ก ก็ไม่น่าจะมีปัญหาในเรื่องของกลิ่นอันไม่พึงประสงค์อะไรมากนัก แต่หากเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากวัสดุอื่นๆ โดยเฉพาะที่ทำมาจากไม้ แน่นอนว่าอาจจะเกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ได้ง่าย ไม่ว่าจะเกิดจากการที่เราใช้งานมาเป็นระยะเวลานาน แล้วมีแบคทีเรียหรือเชื้อโรคบางอย่างเข้าไปข้างใน หรืออาจจะเพราะว่าเป็นเฟอร์นิเจอร์แบบปิด อย่างพวกตู้เสื้อผ้า หรือชั้นวางรองเท้าแบบปิด หรือบางทีเราอาจจะลืมเอาเสื้อผ้าที่ไม่ได้ซัก หรือไม่ได้ใช้มานานแล้ว เก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าของเราแบบนี้เป็นต้น ไม่ว่าจะในกรณีใดก็ตาม ก็สามารถทำให้เกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ได้เหมือนกัน

ดังนั้นในวันนี้ เรามีทริคสำคัญ ที่อาจจะช่วยกำจัดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ ที่จะเกิดจากอะไรใดๆก็ตาม ในเฟอร์นิเจอร์ของคุณ วิธีการเหล่านี้เป็นวิธีการที่เราสามารถทำได้ง่ายๆเองที่บ้าน สามารถทำได้เลยในทันที อุปกรณ์ที่ใช้หลายอย่าง เป็นอุปกรณ์ที่ทุกบ้านจำเป็นจะต้องมีติดบ้านอยู่แล้ว วิธีการที่จะกำจัดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ของเรามีด้วยกันดังนี้

การระบายอากาศ

วิธีการระบายอากาศออก เป็นวิธีการที่ง่ายดาย และสามารถทำได้ในทันที หากเป็นเฟอร์นิเจอร์รูปแบบเปิด อย่างพวกชั้นวางของ แบบนี้เราอาจเปิดประตูและหน้าต่าง เพื่อที่จะได้รับลมและแสงแดดอ่อนๆ ให้ส่องเข้ามา สามารถที่จะช่วยในการขจัดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ได้ หรือหากเป็นตู้เสื้อผ้า หรือตู้รองเท้าแบบปิด ก็สามารถทำได้เหมือนกัน โดยการเปิดตู้เสื้อผ้าหรือตู้รองเท้าทิ้งไว้ ให้มีอากาศถ่ายเทได้อย่างสะดวกสบาย เปิดไว้เป็นระยะเวลาหนึ่ง เพียงเท่านี้ก็จะสามารถขจัดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ อันเกิดจากสาเหตุหลากหลายประการได้อย่างง่ายดายแล้ว เป็นวิธีการที่ไม่จำเป็นจะต้องใช้อุปกรณ์ หรืออะไรอื่นเพิ่มเติมเลย และคุณสามารถทำได้เองที่บ้านในทันที

การใช้กากกาแฟ

สำหรับบ้านไหนที่ดื่มกาแฟเป็นประจำอยู่แล้ว กากกาแฟ เหล่านี้มีประโยชน์มากมายหลากหลาย นอกจากจะสามารถนำไปใช้เป็นปุ๋ย ในการปลูกต้นไม้ได้อย่างงดงามแล้ว อีกประโยชน์หนึ่งที่สำคัญเป็นอย่างมาก คือสามารถขจัดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ ในเฟอร์นิเจอร์ของเราเป็นอย่างดีด้วย ดังนั้นเราจึงไม่ควรที่จะทิ้งกากกาแฟอย่างเสียเปล่า อาจจะนำมันมาใส่ไว้ในตู้เสื้อผ้า ตู้เก็บรองเท้า หรืออาจจะเป็นตู้เก็บของ เพื่อให้กากกาแฟดูดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์เหล่านี้ออกไปจนหมด เป็นวิธีการที่น่าสนใจอย่างหนึ่งเลยทีเดียว

การใช้ถ่านหุงต้ม

นอกจากกากกาแฟแล้ว อีกอย่างที่สามารถขจัดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ของเราได้ นั่นก็คือการใช้ถ่านหุงต้ม เราจะเห็นได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก กับการใช้ถ่านหุงต้ม นำมาใส่ไว้ในตู้เย็น เพื่อให้ถ่านเหล่านี้ทำการดูดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ในตู้เย็นของเรา เราสามารถทำแบบเดียวกันได้ กับเฟอร์นิเจอร์มากมายหลากหลายชิ้นของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฟอร์นิเจอร์แบบปิดอย่างชั้นวางรองเท้า ตู้เก็บของ หรือตู้เสื้อผ้าของเราเป็นต้น เพียงแค่เราใส่ถ่านหุงต้มเหล่านี้ไว้ในตู้เสื้อผ้า หรือเฟอร์นิเจอร์อื่นของเรา เพียงเท่านี้ก็จะไม่เกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์แล้ว

การใช้สบู่ก้อน

อีกอย่างที่เราอยากจะแนะนำคือสบู่ก้อน ซึ่งนอกจากจะมีกลิ่นหอม ยังสามารถใช้ในการขจัดกลิ่นได้ด้วยเช่นเดียวกัน เราอาจจะไม่จำเป็นต้องซื้อสบู่ก้อนมาใส่ไว้ในตู้ หรือในชั้นวางรองเท้าของเราก็ได้ แต่เราอาจจะใช้สบู่ก้อนที่เหลือจากการใช้งาน น้ำสบู่เหล่านี้มารวมกัน แล้วนำมาวางไว้ในตู้เสื้อผ้าของเรา หรือชั้นวางรองเท้าของเรา เพียงเท่านี้ก็จะขจัดกลิ่นได้อย่างง่ายดาย และยังทำให้มีกลิ่นหอมด้วย

หากพูดถึงสไตล์ หรือแนวคิดการตกแต่งบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับงานตกแต่งภายใน ก็แน่นอนว่าสไตล์วินเทจ และเรโทร ซึ่งให้อารมณ์แบบย้อนยุคนั้น ถือเป็นสไตล์ที่หลายคนรู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี โดยแนวคิดการตกแต่งแบบวินเทจและเรโทรนั้นเป็นการนำเสนอคุณค่า และเสน่ห์ของสิ่งต่างๆ ในอดีตที่อาจเคยเป็นที่นิยมในช่วงเวลาใดเวลานึง แต่ ปัจจุบันกระแสความนิยมนั้นได้เลือนหายไปแล้ว เรียกได้ว่าเป็นการดึงเอาคุณค่าในอดีตที่หลายคนคิดถึงกลับมานำเสนอใหม่ก็ว่าได้ อย่างไรก็ตามการเลือกตกแต่งในสไตล์วินเทจและเรโทร โดยความเข้าใจพื้นฐานของหลายคนมักหมายถึงการเลือกใช้สอยเฟอร์นิเจอร์เก่าๆ หรือข้าวของเครื่องใช้มือสอง มาจัดวางประดับในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งด้วยเหตุนี้เองสไตล์วินเทจ และเรโทรจึงมักถูกมองว่ามีข้อจำกัดในเรื่องของคุณภาพ และฟังก์ชั่นใช้สอยของเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ตกแต่ง ซึ่งอาจมองหาสเปคแบบที่ต้องการยากไปด้วย ทว่าในความเป็นจริงแล้วนอกเหนือจากการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์เก่าๆ หรือของมือสอง ก็ยังมีเทคนิคการตกแต่งอื่นๆ อีกมากมายที่จะช่วยเติมเต็มบรรยากาศความเป็นวินเทจ-โรโทรได้ และในบทความนี้เองก็ได้นำเอาเทคนิคการเลือกเฟอร์นิเจอร์ให้แมตช์กับสไตล์วินเทจ และเรโทรโดยไม่ต้องพึ่งพาแค่เฟอร์นิเจอร์มือสองมาแนะนำให้ได้ทราบกัน

เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้ เช่น ตู้เก็บของ เตียงนอน โต๊ะทานอาหาร โทนสีกลางถึงเข้ม อย่างที่ทราบกันดีว่าเฟอร์นิเจอร์วัสดุไม้ถือเป็นของตกแต่งที่ได้รับความนิยมในทุกยุคสมัย แต่ขณะเดียวกันในกระแสความนิยมของวัสดุชนิดนี้ก็สามารถจำแนกช่วงเวลา หรือกลิ่นอายของยุคสมัยได้ กล่าวคือหากย้อนกลับไปในช่วงยุค 90s, 80s หรือก่อนหน้านั้นเราจะพบว่าวัสดุไม้ที่นิยมใช้เป็นของตกแต่ง หรือเครื่องใช้ต่างๆ ภายในบ้านนั้นจะมีโทนสีของพื้นผิวไม้ในระดับกลางไปถึงเข้มซะเป็นส่วนใหญ่ ตัวอย่างเช่น ลวดลายและสีของเนื้อไม้ประเภท ไม้สัก ไม้วอลนัท ไม้มะฮอกกานี เป็นต้น ขณะที่ช่วงปลายยุค 2,000s ถึงปัจจุบัน ได้มีการนำเอาลวดลายของไม้สีโทนอ่อนต่างๆ มาใช้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งลวดลายจริงของไม้ และลวดลายที่ถูกตกแต่งขึ้นภายหลังบนวัสดุไม้เทียมประเภทต่างๆ เช่น ไม้โอ๊ค ไม้แอช ไม้เมเปิ้ล เป็นต้น ดังนั้นหากเราเลือกใช้ของตกแต่งวัสดุไม้โทนสีกลางถึงเข้มดังกล่าวมาจัดวางประดับตกแต่งในพื้นที่ใดๆ ก็ย่อมช่วยเพิ่มกลิ่นอายของวินเทจ และเรโทรได้มากขึ้นแน่นอน

เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์โครงเหล็ก อลูมิเนียมเปลือย อีกหนึ่งเอกลักษณ์การตกแต่งในอดีตช่วงยุค 80s ลงไปก็คือ การใช้ของตกแต่งที่เผยให้เห็นโครงสร้างวัสดุชัดเจน ซึ่งเกิดจากนวัตกรรมการผลิตอย่างง่าย ณ ช่วงเวลานั้นๆ เช่น โต๊ะ เก้าอี้โครงเหล็ก โครงอลูมิเนียมที่ประกอบด้วยแผ่นไม้ หรือบุนวมลงบนโครงวัสดุอีกทีนึง ดังนั้นการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่เผยให้เห็นโครงวัสดุอย่างเหล็ก อลูมิเนียมนี้มาจัดวางตกแต่งในบริเวณใดๆ จึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยเติมเต็มบรรยกาศแบบเรโทรได้เช่นกัน

เติมเต็มบรรยากาศวินเทจด้วยของตกแต่งอายุเกิน 10 ปี โดยทั่วไปแล้วนิยามการตกแต่งแบบวินเทจนั้นหมายถึง การนำเอาสิ่งของ เครื่องใช้ต่างๆ ในอดีตที่มีอายุพอสมควร เช่น ของใช้ในยุค 90s, 80s มาตกแต่ง หรือใช้สอย ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างบรรยากาศความเป็นวินเทจ หรือช่วงเวลาแห่งอดีตให้กับผู้อยู่อาศัย แต่ก็อย่างที่ทราบกันว่าการตกแต่งบ้าน อาคารใดๆ นั้นไม่มีกรอบ หรือข้อจำกัดที่ตายตัว และการจะหาของตกแต่ง ข้าวของเครื่องใช้ในยุค 90s ลงไป ที่ยังมีสภาพสมบูรณ์อยู่มาตกแต่ง หรือใช้งานใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย การเลือกใช้ของตกแต่งที่มีอายุน้อยลงมาหน่อยจึงน่าจะช่วยเติมเต็มบรรยากาศวินเทจ และให้ฟังก์ชั่นใช้สอยที่แมตช์กับยุคปัจจุบันได้ดีกว่า ตัวอย่างเช่น การนำเอาของสะสมอย่างอัลบั้มเพลงอายุสิบปีขึ้นไปของศิลปินที่ชอบมาจัดวางตกแต่งควบคู่กับเฟอร์นิเจอร์ในห้องนั่งเล่นก็ถือว่าเพียงพอที่จะช่วยเติมเต็มบรรยากาศวินเทจแบบร่วมสมัยได้แล้ว

ในการออกแบบและตกแต่งพื้นที่ภายในตัวบ้านในปัจจุบันนั้น นอกเหนือจากเรื่องของสไตล์ หรือธีมตกแต่งที่ชื่นชอบแล้ว ก็ยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่ต้องคำนึงถึงและมีผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้สอยเฟอร์นิเจอร์ชิ้นต่างๆ เช่น เตียง โต๊ะ ตู้ เก้าอี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือปัจจัยเรื่องของขนาดพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบ้านในเมือง ซึ่งมักมีข้อจำกัดเรื่องขนาดพื้นที่มากกว่าบ้านในพื้นที่ชนบท ดังนั้นการเซฟพื้นที่ จึงถือเป็นหนึ่งในโจทย์สำคัญของการเลือกออกแบบและตกแต่งบ้านในเมือง เพื่อไม่ให้บรรยากาศบ้านหลังการตกแต่งออกมาอึดอัดเกินไป แม้ว่าจะได้ฟังก์ชั่นใช้งานที่ครบถ้วนตามต้องการก็ตาม ในบทความนี้จึงได้นำเอาไอเดียการดัดแปลงพื้นที่ส่วนต่างๆ ของบ้านเพื่อเพิ่มฟังก์ชั่นการใช้งานขึ้นมาทดแทนเฟอร์นิเจอร์ชิ้นต่างๆ เรียกว่าเป็นเทคนิคที่จะช่วยลดจำนวนเฟอร์นิเจอร์ที่จะนำมาจัดวางภายในบ้านให้มีน้อยชิ้นลงนั่นเอง
ดัดแปลงพื้นที่ใต้บันไดเป็นตู้เก็บหนังสือ ปัจจุบันหนังสือถือได้ว่าเป็นทั้งของสะสมและของตกแต่งบ้านสำหรับหลายๆ บ้าน ซึ่งหากเป็นเหล่านักอ่านที่มีหนังสือเก็บสะสมไว้ในปริมาณมาก ก็แน่นอนว่าการเลือกซื้อตู้หนังสือขนาดใหญ่ หรือทำการบิวท์อินตู้หนังสือในพื้นที่บางส่วนของบ้านย่อมเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ แต่สำหรับบ้านที่อาจจะไม่ได้มีปริมาณหนังสือที่เก็บสะสมไว้มากเท่าไหร่ การดัดแปลงพื้นที่บางส่วนของบ้านเพื่อให้ได้ฟังก์ชั่นในการจัดวางหนังสือ และสามารถตัดเฟอร์นิเจอร์ชิ้นดังกล่าวออกจากองค์ประกอบของบ้านได้ก็จะช่วยเซฟพื้นที่ของบ้านได้มากพอสมควรเลย ดังนั้นไอเดียแรกที่เลือกมาแนะนำจึงเป็นการดัดแปลงในส่วนของพื้นที่ใต้บันไดสำหรับบ้านสองชั้น โดยทำการบิวท์อินเพิ่มฟังก์ชั่นชั้นวางทดแทนพื้นที่โล่งๆ หรือพื้นที่ส่วนที่ถูกปิดทึบด้วยแผ่นไม้/คอนกรีต ซึ่งมักไม่ถูกออกแบบมาให้รองรับการใช้งานใดๆ ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เท่านี้ก็จะเหมือนได้เฟอร์นิเจอร์เพิ่มขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้ว โดยที่ไม่ต้องสูญเสียพื้นที่จัดวางส่วนใดของบ้านเพิ่มด้วย
ทำพื้นยกระดับในห้องนอนทดแทนเตียง อีกหนึ่งในไอเดียที่ใช้ได้ผลค่อนข้างดีในการประหยัดพื้นที่ในส่วนของห้องนอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบ้านที่ตกแต่งในสไตล์มินิมอล หรือบ้านแบบกลิ่นอายญี่ปุ่นที่เน้นใช้สอยพื้นบ้าน และรักษาไว้ซึ่งบรรยากาศที่โล่งโปร่งสบาย ก็คือการทำพื้นยกระดับสำหรับจัดวางฟูก หรือที่นอนทดแทนฟังก์ชั่นของเฟอร์นิเจอร์อย่างเตียงนอนนั่นเอง ทั้งนี้การใช้ฟูก หรือที่นอนวางราบกับพื้นบ้านถือเป็นวัฒนธรรมปกติของบ้านในญี่ปุ่น เช่นเดียวกับเฟอร์นิเจอร์ชิ้นอื่นๆ ที่มักเป็นลักษณะวางราบกับพื้นบ้าน หรือมีดีไซน์ขนาดเตี้ย เพื่อใช้สอยฟังก์ชั่นร่วมกับพื้นบ้าน หรือพื้นห้องนั้นๆ อย่างลงตัว อย่างไรก็ตามด้วยดีไซน์รูปทรงตัวบ้านในญี่ปุ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว การนำวัฒนธรรมดังกล่าวมาปรับใช้ เช่น การจัดวางฟูกราบกับพื้น จึงอาจต้องมีการดัดแปลงให้แมตช์กับบ้านสไตล์โมเดิร์น หรือบ้านมินิมอลแบบร่วมสมัยในบ้านเราสักหน่อย ซึ่งวิธีที่ดีก็คือการทำพื้นยกระดับขึ้นมาในพื้นส่วนนึงของห้องนอน(ขนาดพอดีกับฟูก) นั่นเอง เท่านี้สามารถเพิ่มความเป็นสัดส่วนให้กับฟังก์ชั่นส่วนนี้ได้แล้ว อีกทั้งความสูงที่ถูกยกระดับขึ้นมาก็จะช่วยเพิ่มความแมตช์กันกับความสูงของเพดานบ้านอีกด้วย นอกจากนี้ก็อาจจะใช้เทคนิคการตกแต่งต่างๆ เพื่อเพิ่มความสวยงามมีมิติให้กับตัวห้อง เช่น อาจใช้กระเบื้องยางปูพื้นในลวดลายที่แตกต่างกับพื้นหลักของตัวห้องปู ก็จะช่วยเพิ่มความเป็นสัดส่วนดูมีมิติมากขึ้นอีก โดยที่ไม่ต้องมีฟังก์ชั่นส่วนเกินอื่นๆ เหมือนกับการเลือกใช้เตียงนอนจากแบรนด์เฟอร์นิเจอร์เจ้าต่างๆ ที่หลายรุ่นอาจมีสไตล์ หรือดีไซน์ที่แมตช์ได้ดีกับตัวห้อง แต่ก็มาพร้อมกับฟังก์ชั่นส่วนเกินที่ถูกออกแบบมาจากแบรนด์เฟอร์นิเจอร์เจ้านั้นๆ เช่น ชั้นวางหนังสือของหัวเตียง ดีไซน์ส่วนขอบที่มีส่วนเว้า ส่วนยื่นออกจากตัวเตียง ที่ไม่สามารถถอดออกได้ ทำให้กินพื้นที่จัดวางไปโดยเปล่าประโยชน์